เทศน์พระ

น้ำนิ่ง

๒ ธ.ค. ๒๕๕๖

 

น้ำนิ่ง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สัจธรรม สัจธรรมเนาะ เราตั้งใจเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าสัจธรรม ดูลมพัดสิ เวลาฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไป เวลาฤดูร้อนอากาศร้อนมาก ฤดูหนาวอากาศเย็นสบาย ฤดูฝนมีแต่ความชื้น

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของคน หัวใจของคนเวลามันส่งออก เห็นไหม โดยธรรมชาติของเราเราบวชมาเป็นชาวพุทธ แล้วเราเป็นพระ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมนะ ความรู้สึกของใจ ความรู้สึกของใจ เห็นไหม ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แล้วใจมันอยู่ไหน ถ้าเราหาใจเราไม่เจอจะเริ่มต้นขึ้นมาอย่างไร สิ่งนี้โดยสามัญสำนึกโดยธรรมชาติ

คนเราเกิดมามีชีวิตนี่มันก็มีความรู้สึกทั้งนั้นน่ะ เราก็เอาความรู้สึก เห็นไหม ดูสิ เขาว่าดูจิตๆ ก็ดูที่ความคิด คนเรามันก็มีความรู้สึกนึกคิด ก็คิดว่าความรู้สึกนึกคิดนี้คือจิตวิญญาณ ความรู้สึกนึกคิดนี้เกิดจากจิต ความรู้สึกนึกคิดนี้เกิดจากฐีติจิต เกิดจากปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณแต่วิญญาณในขันธ์ ๕ นี่ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม โดยคิดที่ว่าความเข้าใจผิดของเขา เพราะดูจิตๆ ดูกันไป

แต่ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เพราะมันมีปัญญามันถึงได้แก้ไข เวลาแก้ไขสิ่งใดขึ้นมาแล้วนี่มันวางความคิด พอวางความคิดขึ้นมาแล้วมันเป็นอิสระเป็นตัวของมันเอง ถ้าเป็นตัวของมันเองนั่นล่ะเขาเห็นฐีติจิต เขาเห็นจิตของเขา ถ้าเห็นจิตของเขานี่ว่าดูจิตๆ โดยภาษาสมมุติ โดยภาษาสมมุติเราศึกษาธรรมแล้วเราก็คิดของเราไปเองว่าสิ่งที่เราดูความคิดดูความรู้สึกอันนี้มันเป็นการดูจิต

มันเป็นการดูเงาดูแต่เปลือก มันไม่เข้าถึงตัวจิตไง ถ้าไม่เข้าถึงจิตมันไม่เข้าใจว่าจิตมันคืออะไร ถ้ามันเข้าถึงจิตคืออะไรนี่ สิ่งที่ว่าแม้แต่อากาศมันยังเปลี่ยนแปลง เห็นไหม ดูสิ เวลาเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไฟเห็นไหมดูสิ ไฟธรรมชาติของมันก็มีไฟของมัน แต่เวลาเราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมาธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เราก็มีดิน น้ำ ลม ไฟเหมือนกัน

ถ้าดินน้ำลมไฟ ดูน้ำเห็นไหม น้ำมันมาจากไหน น้ำเห็นไหม ดูน้ำที่ว่ามาจากอากาศ น้ำมาจากฟ้า แม่น้ำที่มีหิมะเป็นต้นน้ำ แม่น้ำที่มีตาน้ำนะ น้ำมาจากฟ้า น้ำมาจากดิน เวลาน้ำมันนิ่ง ถ้าน้ำมันนิ่ง เห็นไหม น้ำถ้ามันสะสมมันนิ่ง มันก็เป็นน้ำเน่าเสียหรือมันระเหยไป จนมันเหือดแห้งไป สิ่งที่ว่าเวลาน้ำ น้ำมันรวมตัวกันมันก็เป็นแม่น้ำ มันเป็นกระแสน้ำรวมตัวกันไป มันก็ไปสู่ทะเล นั่นคือน้ำ สิ่งที่น้ำมันไหลไปมันก็ไปโดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของมันนะ มีออกซิเจนต่างๆ แล้วมันก็มีสิ่งมีชีวิต พอสิ่งมีชีวิตมันก็ดำรงชีวิตได้มันก็ร่มเย็นเป็นสุข มันก็น่ารื่นรมย์ เห็นไหม สิ่งที่น้ำมันไหล ถ้าน้ำมันไหลมันก็ไหลไปไม่มีที่สิ้นสุด มันก็ไหลต่อเนื่องกันไป

ความรู้สึกนึกคิดของเรา เห็นไหม ดูสิ มันเริ่มต้นขึ้นมามันกระจายออกไป มันส่งออกไป แล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก เราจับต้นชนปลายสิ่งใดเราไม่ได้เลย เวลาแม่น้ำมันไหลของมันไปมันยังให้สิ่งที่มีชีวิตใช่ไหม มันมีสิ่งมีชีวิต มันมีความอุดมสมบูรณ์ของมัน ความรู้สึกนึกคิดของเรา เราเอามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา ศาสดาของเราจะชักจะจูงของเราให้เป็นไปในทางที่ดีนะ จะชักจูงใจเราไปในสิ่งที่ดี จะชักจูงใจสิ่งที่ดีน่ะ ถ้าเรามีสติปัญญา เราศึกษาแล้วเราซาบซึ้งนี่เราก็ประคองตัวของเราเป็นคนดีได้ เราอยู่ในธรรมอยู่ในวินัย เราอยู่ในธรรมอยู่ในวินัย อยู่ในข้อปฏิบัติไง อยู่ในศีลในธรรม ถ้าอยู่ในศีลในธรรมน่ะ

แต่ถ้าเราอยู่ในคุณธรรมของเราล่ะ ถ้าคุณธรรมของเราเราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา มันมาจากไหน ถ้ามันมาจากไหน มันต้องมี อยากจะเอาคุณธรรมของเรา เราอยู่ไหน เราคือใคร ถ้าเราอยู่ไหน เห็นไหม เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลารู้สึกนึกคิดมันก็เหมือนแม่น้ำที่มันไหลไป แม่น้ำที่มันไหลไปตามธรรมชาติของมัน คนที่ดี แม่น้ำที่ไหลไป มันเอาความอุดมสมบูรณ์ เห็นไหม ทำให้มีอาหาร ทำให้มีการกสิกรรม ทำให้เกิดประโยชน์ทั้งหมดเลย ถ้าเป็นสิ่งที่ดี เห็นไหม

เรามีสติปัญญา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศีลมีธรรมรักษาชีวิตของเราเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าน้ำมันขัง น้ำมันเสีย น้ำอุตสาหกรรม น้ำเสีย สัตว์น้ำก็อยู่ไม่ได้ ทำประโยชน์สิ่งใดก็ไม่ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้เลย นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมา คนที่เขาไม่เอาไหน คนที่เขาไม่รับผิดชอบชีวิตของเขา เขาประชดชีวิตของเขา เขาทำลายของเขา แม่น้ำเหมือนกัน จิตเหมือนกัน มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน อันหนึ่งทำเป็นคุณประโยนช์ อันหนึ่งทำโทษกับตัวเอง พอทำโทษกับตัวเอง ทำโทษกับสังคม ทำโทษกับทุกๆ อย่างเลย ทำความเสียหายไปหมดเลย นั่นมันก็เรื่องของเสีย เวลาของเสีย เห็นไหม

ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เราเข้าใจได้ นี่ศาสดาของเรา ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา เราศึกษามาเพื่อประโยชน์กับเรา เราจะเอาคุณสมบัติของเราล่ะ ถ้าเอาคุณสมบัติของเรา เราต้องมีสติมีปัญญา เราจะเอาคุณสมบัติของเรา เราจะเอาความรู้จริงของเรา ถ้าเอาความรู้จริงของเรา เราเอาความจริงของเรา เราจะไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไปนัก

เวลาเรามีสติมีปัญญามีศีลมีธรรม เห็นไหม เรามีศีลมีธรรมนี่เป็นเครื่องดำรงชีวิต มันก็รักษาชีวิตของเราไว้ให้เป็นคุณงามความดี คุณงามความดีมันก็เวียนวายตายเกิดไปตามคุณงามความดีนั้น คนทำชั่วก็ตกนรกอเวจีกันไป แต่คนทำคุณงามความดีเกิดในสวรรค์ เกิดเป็นมนุษย์ ในการทำคุณงามความดีนี่ ถ้าเราจะเอาความดีในสัจจะล่ะ

ถ้าเราจะเอาความดีในสัจจะนะ เราจะตั้งสติของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเราตามความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม เราเป็นพระป่า เราเป็นพระปฏิบัติ เวลาพระปฏิบัติ เขาต้องทำความสงบของใจ พยายามทำความสงบของใจนะ ใครจะว่า... แต่เดิมเวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนมานี่ คนในสังคมโลกเขาไม่เชื่อถือ เขาว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่เชื่อว่ามรรคผลมี เขาก็ไม่สนใจเลย

เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติจนประสบความสำเร็จ หลวงปู่เสาร์ หลวงปูมั่น ท่านประสบความสำเร็จของท่าน ท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านเอาวิธีการ เอาประสบการณ์ของท่าน วางเป็นข้อวัตรให้เราเดินนะ ถ้าวางเป็นข้อวัตรให้เราเดิน นี่มีผู้ที่ปฏิบัติตาม มีครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติตามขึ้นไปนี่มีดวงตาเห็นธรรม ปฏิบัติไปแล้วนี่มีสัจจะมีความจริงขึ้นมา มีสัจจะเป็นจริงขึ้นมาน่ะ จนสังคมเขาเชื่อถือศรัทธา เห็นไหม ทีนี้เชื่อถือศรัทธานี่ คนที่เขาไม่เชื่อๆ เขาก็ต้องหันมาดู หันมามองว่าเขาจะทำอย่างใด

พอทำอย่างใดนี่ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยความเห็นของตัวก็ปฏิบัติตามความเร่ร่อนของกิเลสไป กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ เห็นไหม พวกมารมันก็ทำให้เร่ร่อนกันไป เขาก็ว่าบอกการกระทำของเราไม่มีความจำเป็น ทั้งๆ ที่เริ่มต้นก็ไม่เชื่อว่ามรรคผลมี พอครูบาอาจารย์ปฏิบัติมาเป็นความจริงขึ้นมา ก็ยังมาเสนอว่าสิ่งที่ทำมานั้นไม่ถูกต้อง ต้องทำตามความเห็นของเขา ทำตามคำบรรยายของเขา แล้วทำตามความเห็นตามคำบรรยายมีประโยชน์สิ่งใดล่ะ

ถ้านั้นเรากำหนดของเราให้เป็นตามความจริงของเราขึ้นมา เวลาไม่เชื่อก็ไม่เชื่อเลยนะ เวลาเชื่อขึ้นมา เวลาเชื่อๆ ด้วยกิเลสไง เชื่อด้วยความเห็น ไม่ได้เชื่อด้วยความจริง ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ กาลามสูตรเห็นไหม ถ้ามีความเชื่อ เราต้องมีความมุ่งมั่นของเรา เราพยายามทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้าทำจริงขึ้นมานี่มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ไม่ได้เชื่อใครเลย เชื่อสัจจะ เชื่อความจริง เชื่อความเป็นไปในใจ ถ้าเชื่อสัจจะเชื่อความจริงภายในใจนี่ มันเป็นจริงอย่างไร ถ้ามันจริง เห็นไหม

น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำมันนิ่งแต่มันไหลของมัน ดูสิ เวลาน้ำดูมันนิ่งๆ แต่มันเคลื่อนไหวของมันตลอดเวลา นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่น้ำมันจะนิ่งได้ น้ำมันนิ่ง ถ้ามันนิ่งโดยการกักเก็บ พอน้ำมันนิ่งมันก็เน่า ถ้าน้ำมันไหลมันก็ไหลของมันไป ดูสิ เวลาความรู้สึกนึกคิดของเรา เวลามันส่งออกมันคิดมันฟุ้งซ่านมันไป มันก็ไหลของมันไป เวลามันเบื่อหน่าย เวลามันอัดอั้นตันใจมันก็กักตัวมันเอง มันไม่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเลย

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เห็นไหม น้ำนิ่ง แต่มีพลังงานของมันไง น้ำนิ่งแต่ไหล ถ้าน้ำนิ่งไหล นี่พุทโธๆ พุทโธต่อเนื่องกันไป นี่น้ำมันนิ่ง ถ้าพุทโธๆ จนสงบเข้ามา น้ำนิ่งแต่มันมีพลังงานของมัน มันเป็นประโยชน์ของมัน เห็นไหม มันเป็นประโยชน์ ประโยชน์ที่ไหน? ประโยชน์ที่จิตตั้งมั่นๆ จิตนี้ไม่โดนพญามารขับดันมันไป ถ้ามีแต่ขับดันมันไป เห็นไหม

ดูสิ ถ้าสิ่งที่เขาทำ น้ำที่ว่าไม่มีใครดูแลรักษามัน มันระเหยไปหมดล่ะ มันโดนความร้อน มันโดนอากาศต่างๆ มันระเหยของมันไปโดยธรรมชาติของมัน นี่มันเป็นของมัน จิตก็เหมือนกัน จิตที่มันส่งออกของมันไป มันมีธรรมชาติของมัน มันเป็นไปของมันอยู่แล้ว เห็นไหม เรามีสติมีปัญญาขนาดไหน มีสติมีปัญญาแล้วรักษาใจเราอย่างไร ถ้ารักษาใจได้มันเป็นประโยชน์นะ

ถ้ารักษาใจไม่ได้ เริ่มต้นก็เริ่มต้นไม่ได้ ทำสิ่งใดมันก็ล้มลุกคลุกคลาน ถ้าล้มลุกคลุกคลานไปแล้วความเป็นจริงเอามาจากไหน ความจริงมันไม่มี ก็พูดเป็นวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ถ้าน้ำมันนิ่ง น้ำมันโดนกัก น้ำมันไม่มีการถ่ายเท มันต้องเสียแน่นอน ถ้าน้ำมันมีการถ่ายเท มันมีการบำรุงรักษาของมัน มันจะมีประโยชน์กับมัน มันก็พูดไปทางวิทยาศาสตร์ ทางโลก ทางวัตถุธาตุ

แล้วจิตล่ะ ความรู้สึกล่ะ ความรู้สึกที่มันจะเป็นจริงขึ้นมานี่มันเป็นอย่างไร แล้วมันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ทางความเป็นจริงนี้ ครูบาอาจารย์ท่านถึงวางข้อวัตรไว้ให้ทำความสงบของใจๆ คำว่าทำความสงบของใจนี่ให้มันพัฒนาให้มันรู้เอง

ทุกคนถ้าเราศึกษาศีลธรรมมาเพื่อดำรงชีวิต เพื่อเป็นคนดี แต่เราจะเอาความรู้จริงของเรา ถ้าเอาความรู้จริงของเรานี่เราจะต้องเริ่มต้นจากตัวตนของเรา เห็นไหมว่าอัตตาตัวตน อัตตานี้มันเป็นโทษทั้งนั้น ดูสิ มานะ ๙ มีความรู้เหนือกว่าเขา สำคัญตนว่าเหนือกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา มีความรู้เสมอเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา มีความรู้ต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา นี่มานะ ๙ ถ้ามีมานะ ๙ มันสังโยชน์เบื้องบน สังโยชน์มันมีตัวตนของมันอยู่แล้ว ในเมื่อตัวตนมันเป็นสังโยชน์ มันเป็นกิเลส แล้วทำไมต้องมีตัวตนของเราล่ะ

ถ้าไม่มีตัวตน เราจะเริ่มต้นที่ไหน? เราจะเร่ร่อนไปไหนกัน เราจะไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราใช่ไหม? ศึกษามาศึกษามาเป็นความรู้ในภพชาติ ศึกษามาแล้วยังจำได้ สัญญาเดี๋ยวก็จำได้ เดี๋ยวก็ลืมไป เดี๋ยวก็ต้องทบทวน แล้วศึกษาๆ มาแล้วเป็นความรู้ชาตินี้ เวลาตายไปแล้วนี่ศึกษามาทำอกุศล ศึกษามาแล้วไม่ทำคุณงามความดี ถ้าศึกษามาแล้วทำความดีมันจะทำประโยชน์กับใคร มันจะทำได้แค่ไหน ถ้าศึกษามาทำไม่ได้ มันก็ไม่เป็นประโยชน์กับใคร ถ้าศึกษามาแล้วทำคุณงามความดีของเรา ทำประโยชน์กับเรา ทำให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม นี่เป็นความจริง

ถ้าความจริงขึ้นมาของเรานี่ สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์ของเราแล้วเราจะรู้จริงของเราเลยล่ะ ถ้าจิตมันสงบนี่มันจะนิ่งเข้ามา มันนิ่งเข้ามา แต่มันมีพลังของมัน น้ำนิ่งแต่ไหล พอน้ำมันนิ่งแต่มันมีกำลังของมัน มันพัฒนาของมันขึ้นมา พัฒนาขึ้นมา เห็นไหม เราจะมีงานทำแล้ว เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้ามีงานทำ ท่านจะภาวนาของท่าน มันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ได้ไง แต่ถ้าเราไม่มีงานทำ เราไม่มีงานทำจับต้นชนปลายไม่ได้ ถ้าเราจับต้นชนปลายไม่ได้เราจะเอาอะไรมาเป็นประโยชน์กับเราล่ะ เราไม่มีอะไรเป็นประโยชน์กับเราเลย

เริ่มต้นก็เริ่มต้นไม่ได้ เริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด เริ่มต้นยังเริ่มต้นไม่ได้กัน แล้วพอ ธมฺมสากจฺฉาไง เวลาคุยธรรมะกันน่ะปากเปียกปากแฉะ เริ่มต้นก็เริ่มต้นไม่เป็น ที่มาก็ไม่มี ท่ามกลางก็ไม่มี แล้วที่สุดมันจบลงที่ไหน ที่สุดมันจบลงที่ไหน ถ้ามันจบลงได้ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วนี่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนา

ดูสิ ถ้ามันใช้ปัญญาของมันไป มันแยกแยะของมันไป มันใช้ปัญญาแยกแยะของมันไป ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นอย่างไร ถ้าเห็นตามความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม พอน้ำนิ่งแต่ไหลมันมีพลังงาน มันมีความจริงของมัน นี่น้ำนิ่งภาษาโลกเขา เขาบอกว่าเขาเวิ้งว้างมีความว่าง มันมาจากไหนน่ะ มันไม่มีเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด คือเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราอ้างกันก็อ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพุทธพจน์ มันก็ถูกต้องพุทธพจน์เป็นศาสดาของเรา เราปฏิเสธไม่ได้หรอก เราไม่ได้ปฏิเสธสิ่งนั้น แต่เรามีครูมีอาจารย์นะ

มีตั้งแต่ครูบาอาจารย์ เห็นไหม หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานี่ท่านมีความจริงของท่าน ถ้าความจริงนี่ เห็นไหม อริยสัจมีหนึ่งเดียว ถ้าความจริงมันเข้าไปสู่สัจจะความจริงเหมือนกัน มันไม่มีการโต้แย้งกันหรอก แต่ท่านทำตามความจริงของท่าน แต่ขณะที่ว่าผู้ที่มีคุณธรรม สูงสุดสู่สามัญ ท่านมีสัจจะมีความจริงในหัวใจของท่าน ท่านมีสัจจะความจริงในหัวใจของท่าน เห็นไหม สูงสุดสู่สามัญ เหมือนคนธรรมดา เหมือนคน คนเหมือนคนแต่ไม่เหมือนคน ใจของท่านมีคุณธรรมของท่าน เหมือนเราธรรมดานี่อ่อนน้อมถ่อมตน สูงสุดสู่สามัญ

แต่พวกที่ปฏิบัติไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีเริ่มต้น ท่ามกลาง ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดเลย มีแต่ทิฏฐิมานะ มีแต่อหังการว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมเพื่อเอาธรรมสิ่งนั้นมาเป็นสินค้า มันไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย แต่ถ้าสูงสุดสู่สามัญ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรมกันจริงๆ แล้วนี่อ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะอะไร อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะท่านรู้ทันกิเลสของท่านไง สิ่งที่เป็นความอหังการมันเรื่องกิเลสตัณหาทะยานอยากทั้งนั้นน่ะ

สิ่งที่อหังการความเป็นกิเลสตัณหาทะยานอยากมันทำอะไรล่ะ มันทำให้ใจของเรา ทำใจของเราให้มันถูกข่มขี่ กิเลสมันจะพาจิตใจเราไปอยู่บนหัวคนอื่นนะ แต่คนเราคนเท่ากัน คนเหมือนคน เวลาบวชพระ พระเท่ากับพระ มันจะมีใครสูงต่ำกว่าใคร ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน แต่เราเคารพกันด้วยน้ำใจ ในเมื่อหัวใจเป็นธรรมขึ้นมา เราเคารพกันที่นั่น เขามีคุณธรรมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นไหม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่มีสิ่งใดไปกีดขวางใครเลย เพราะเขาเห็นไง

นี่เราดูสิ เราเห็นเด็กทำผิด เห็นไหม เด็กมันเข้าใจผิด มันทำผิดแล้วน่าสงสารไหม เด็กที่มันเห็นผิดทำความผิด เพราะความไม่รู้ของเขาใช่ไหม ความไม่รู้ของเด็ก เด็กก็อยากทำดีทั้งนั้นน่ะ มันทำหน้าที่การงานจนสุดความสามารถ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาทำผิดเพราะอะไร นั้นเพราะเขาไม่รู้ ไม่รู้คืออะไร ไม่รู้คืออวิชชา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ สูงสุดสู่สามัญ คำว่าสูงสุด นี่น้ำนิ่งแต่ไหล แล้วเกิดปัญญาวิปัสสนา เวลาเกิดปัญญาวิปัสสนามันได้ทำลาย ได้สำรอก ได้คายออกไป การกระทำของเรานี่นะมันทุกข์ยากขนาดไหน ความทุกข์ยากคือความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มันมีการกระทำของมัน

แล้วการกระทำของเรา จิตของเราเวลาวิปัสสนาไปนี่ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา เวลาเราวิปัสสนาใช้ปัญญาไป ปัญญามันแยกแยะ แยกแยะกันไป วิปัสสนาไง ด้วยงานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรมมันพิจารณาของมันไปน่ะ มันผ่อนคลาย มันได้ชำระล้าง เห็นไหม มันตทังคปหาน ทำความสะอาดแล้ว ทำความสะอาดจนถึงที่สุด พอถึงที่สุดมันปล่อยวางของมัน มันปล่อยวางของมัน

ทำความสะอาดจนถึงที่สุด คือกระบวนการของการวิปัสสนา กระบวนการของปัญญาของเรา ได้ทำการถึงสุดสิ้นกระบวนการมัน แต่...แต่ในเมื่อกิเลสมันเป็นแก่นของใจ มันทำกระบวนการสิ้นสุด มันกระบวนการสิ้นสุด แต่เราเริ่มทำเริ่มปฏิบัติขึ้นมานี่ กระบวนการสิ้นสุดแต่ไม่ครบวงจรของมัน มันไม่ถึงที่สุด คือมันไม่สมุจเฉทปหาน มันจะเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว

ถึงที่สุดแล้วมันวางชั่วคราวได้อย่างไร ถึงที่สุดคือกำลังของเราถึงที่สุด กิเลสในการปฏิบัติของเรานี่ เริ่มต้นปฏิบัติใหม่กิเลสมันพลิกแพง กิเลสมันหลบหลีกของมันไป กำลังของเรา ด้วยปัญญาของเรา เราใช้ปัญญาถึงที่สุด กระบวนการมันถึงที่สุดมันก็ปล่อย มันปล่อยไง กิเลสมันหลบหลีกไง กิเลสมันหลบหลีกมันปล่อยของมัน เห็นไหม กระบวนการนั้นมันก็ไม่จบ มันสิ้นสุดแต่ไม่จบ ไม่จบเพราะอะไร เพราะกิเลสมันไม่สำรอก มันผ่อนคลาย แต่มันไม่ถึงที่สุด นั้นเขาเรียกตทังคปหาน เราวิปัสสนาไปเราเห็นกระบวนการของมัน เห็นกระบวนการของมัน การกระทำมันถึงว่าการกระทำอย่างนี้ จิตมันพิจารณาอย่างนี้ มันทุกข์ยากขนาดไหน แล้วเวลามันทำที่สุดแล้วนี่ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ เราก็เชื่อมั่นว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เราทำงานเสร็จแล้ว คนที่ทำงานเสร็จแล้วก็อยากจะพักผ่อน พอทำงานเสร็จแล้วก็คิดว่างานนี้เสร็จแล้วก็จะเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ

แต่เวลาเป็นเรื่องของกิเลสมันเป็นนามธรรม นี่งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ มันอยู่ที่ไหนมันมีเครื่องมือที่ไหน เราต้องเก็บแล้ว มันก็อยู่ในหัวใจของเราทั้งนั้น เวลาเราตั้งสติขึ้นมากระบวนการของมันก็สมบูรณ์ของมัน เราตั้งสติขึ้นมา เราทำความสงบของใจเข้ามาก็มีสติชอบ งานชอบ เพียรชอบ สมาธิชอบ ความชอบธรรมก็เกิดขึ้น

ความชอบธรรมเกิดขึ้น เราใช้วิปัสสนาต่อเนื่องกันไป ต่อเนื่องกันไป แต่ถ้าเราพิจารณาครั้งแรก เห็นไหม เราพิจารณาครั้งแรกโดยประสบการณ์ ด้วยความชำนาญของเรายังไม่มี ด้วยความเข้าใจเรายังไม่มี เรามีกิเลสความไม่รู้มันมีอยู่ พอความไม่รู้มีอยู่ กระทำการกระทำไปแล้วนี่มันปล่อยวาง มันปล่อย ถ้ามันปล่อยแล้วมันไม่มีสติสมบูรณ์ ไม่มีการรักษา ไม่มีการสืบต่อเนื่อง มันก็เสื่อม มันก็พลิกแพลงไป คนที่ปฏิบัติมันจะเห็นการเจริญแล้วเสื่อมๆ มันก็พิจารณาของมันต่อเนื่อง ถ้ามันกลับมาฟื้นฟู กลับมาฟื้นฟูให้น้ำนิ่ง

น้ำนิ่งแต่ไหล เพราะน้ำนิ่งแต่ไหลมันมีกระบวนการออกซิเจน มันมีกระบวนการให้น้ำนั้นมันเคลื่อนไหวของมัน พอเคลื่อนไหวไปทำคุณประโยชน์ เหมือนคุณประโยชน์ เห็นไหม ไปทำสิ่งใดใช้ประโยชน์ได้กับกระบวนการนั้น

จิตสงบแล้วนี่ จิตสงบนี่สัมมาสมาธิ ถ้ามีสติมีปัญญา เห็นไหมนี่กระบวนการของมันเกิดขึ้น มันวิปัสสนาซ้ำเข้าไป ถ้าพิจารณาซ้ำเข้าไปกระบวนการที่เกิดขึ้น กระบวนการที่ทำแล้วทำเล่า กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างนี้ นี่พิจารณาซ้ำพิจารณาซากๆ โดยที่มีสติปัญญา เพราะมีครูบาอาจารย์ท่านทำมาแล้ว ถ้าทำมาแล้วแต่ก็เป็นธรรมะส่วนตนของท่าน แต่เราล่ะ กระบวนการของเรายังไม่เป็นไป ถ้าไม่เป็นไปเราทำมันก็ล้มลุกคลุกคลานใช่ไหม เราก็พิจารณาซ้ำๆ

ถ้ามันพิจารณาซ้ำแล้วมันล้มลุกคลุกคลานก็ตั้งต้นขึ้นใหม่ๆ เริ่มต้นตั้งขึ้นมาแล้วพิจารณาต่อเนื่องกันไป ถ้ามันปล่อย ปล่อยก็หาทางที่จับต้องแล้วพิจารณาซ้ำเข้าไปซ้ำเข้าไป ถึงที่สุดเวลามันขาด เห็นไหม กระบวนการที่จบ กระบวนการที่สิ้นสุด แต่กิเลสมันหลบหลีก กิเลสมันซ่อนตัวของมันอยู่ กระบวนการที่พิจารณาซ้ำๆๆ เข้าไป เวลามันขาด เวลามันขาดมันแตกต่าง กระบวนการที่มันหลบหลีก กระบวนการที่มันขาดคือมันจำนนถึงที่สุด มันต้องทำลายจนฆ่ามันจนขณะจิตที่เกิดขึ้น ขณะจิตที่เกิดขึ้น นี่ไง สังโยชน์มันขาดมันขาดอย่างนี้ ถ้ามันขาดอย่างนี้

ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติของท่านมาแล้วนี่ เวลาท่านเห็นพวกเราที่ปฏิบัติใหม่ ท่านเห็นแล้วสังเวชไง ท่านเห็นแล้วท่านสงสาร เหมือนเราเห็นเด็กที่มันล้มลุกคลุกคลาน เห็นเด็กที่มันทำงานของมันเต็มที่ เด็กมันพยายามจะทำงานให้สมบูรณ์แบบของมันนะ แต่ความสมบูรณ์แบบของผู้ไม่รู้ มันก็แค่นั้นน่ะ แต่ความสมบูรณ์แบบของผู้ที่รู้แล้ว ท่านเห็นการกระทำผิด กระทำถูกท่านเห็นของท่าน นี่ก็เหมือนกัน ในสังคมของเราในสังคมนักปฏิบัติ ผู้ที่มีคุณธรรมได้ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนไง

อ่อนน้อมเพราะอะไร เพราะเรารู้จริง ความรู้จริงอันนี้ ความสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากที่มันกีดขวาง เห็นไหม กีดขวางในหัวใจนี่มันได้ทำลายไป ถ้าสิ่งที่กีดขวางได้ทำลายไป จิตใจของเรามันถึงโล่งโถง จิตใจของเรามันถึงไม่มีสิ่งใดเป็นเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีลับลมคมในในใจของเรา แต่ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ สิ่งที่ลับลมคมในที่เราได้สำรอกเราได้คายของเราออกไป โดยสังโยชน์มันขาดออกไป เห็นตามความเป็นจริงอันนี้ เราถึงเห็นรู้จริงในจิตใจของเรา

แต่ในเมื่อผู้ที่ปฏิบัติเขายังไม่ได้สำรอก เขายังไม่คายสิ่งนี้ออกไป ไม่มีสิ่งที่สำรอกคายสิ่งนี้ออกไปน่ะ สิ่งที่กีดขวาง สิ่งที่กีดขวางในใจเขาอยู่นี่ เขาจะรู้ตัวเขาเองไม่ได้ เขาจะไม่รู้ตัวเขาเองเลยว่าเขาทำสิ่งนั้นผิดหรือถูก แต่ด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยความเห็นผิดของเขา เขาก็ว่าสิ่งนี้ถูกต้องดีงาม แล้วเขาก็ได้แสดงสิ่งนั้นออกไป เวลาแสดงสิ่งนั้นออกไป เห็นไหม

สิ่งที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านสิ่งนี้ไป ท่านรู้ของท่าน เห็นไหม เพราะสิ่งที่แสดงนั้นออกไป แสดงด้วยความอหังการ แสดงด้วยความอหังการ ด้วยความทะนงตน แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความจริงของท่าน สิ่งที่ความทะนงตนนั้น มานะอันนั้น ท่านได้ทำลายของท่าน ท่านได้สำรอกได้คายออก ความทะนงตนอย่างนี้มันไม่มี สิ่งที่เขามีความทะนงตน ความทะนงตนเพราะเขาไม่รู้ เพราะเขาไม่รู้เขาถึงได้แสดงออก เพราะเขาได้แสดงออกคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านเห็นแล้วท่านถึงหลบหลีก ท่านถึงไม่มีสิ่งใดปะทะ ไม่มีสิ่งใดกีดขวางกับผู้ที่แสดงตนอย่างนั้น

ถ้าแสดงตนอย่างนั้น นั่นไง สิ่งนี้มันถึงเหมือนเด็กน้อยไง แต่เราคิดว่าเรารู้จริง เราคิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นคุณธรรม สิ่งนั้นมันเป็นความจริงเพราะความไม่รู้ แต่คนที่เขารู้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ท่านสังเวช สิ่งที่สังเวชแล้วนี่เพราะว่ากิเลสมันไม่ไว้หน้าใคร มาร..มารเอย! เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้เราถึงจะนอนนิพพาน

เมื่อใดถ้ามันยังไม่เข้มแข็ง เห็นไหม ในเมื่อจิตของเรายังไม่เข้มแข็ง มารมันครอบงำอยู่ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อรองกันมาตลอด ต่อรองกับสิ่งนี้มาตลอด เพราะมารมันต้องการจิต ต้องการสถานที่อยู่ของมนุษย์ ของสัตว์โลก ตั้งแต่พรหมลงมาเป็นสถานที่อยู่ของมันหมดเลย ฝ่ายมารๆ มันครอบงำทั้งนั้น ถ้ามันครอบงำสิ่งนั้น มันครอบงำเพราะมันไม่รู้ด้วยนะ แล้วมันครอบงำ แล้วมันยังเป็นประโยชน์กับมันอีก

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเราที่ปฏิบัติมา ท่านได้ทำลายสิ่งนี้มา สิ่งนี้มันถึงไม่มีอยู่ในใจ ถ้าไม่มีอยู่ในใจ การแสดงออกเห็นไหม กลับอ่อนน้อมถ่อมตน กลับอ่อนน้อมถ่อมตนนะ ไม่มีอหังการ ไม่มีสิ่งใดมากีดขวางใคร สิ่งที่กีดขวางกีดขวางจากทิฏฐิมานะทั้งนั้น ถ้าเกิดจากทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะมันก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วทิฏฐิมานะเป็นกิเลส แล้วเวลาเราจะทำความสงบของใจล่ะ

นี่น้ำนิ่ง นิ่งเพื่ออะไร น้ำนิ่งเข้าสู่ฐีติจิต เข้าสู่ตัวตนของเรา นี่ก็ในเมื่อทิฏฐิมันเป็นกิเลส แล้วตัวตนมันไม่ใช่กิเลสแล้วน่ะ กิเลสมันมีของมันอยู่แล้ว ในเมื่อกิเลสของมันมีอยู่แล้ว จิตใจของเรามันก็มีอยู่แล้วถ้ากิเลสมันมีอยู่แล้ว ถ้ามันส่งออกไปโดยอวิชชา โดยความไม่รู้ แล้วไปศึกษาธรรม ไปศึกษาในทางวิชาการทางโลก มันก็เรื่องของโลกียปัญญา เรื่องของโลกทั้งนั้น เรื่องของกิเลสทั้งนั้น เรื่องของกิเลสศึกษาธรรมก็เป็นกิเลส ปฏิบัติธรรมก็เป็นกิเลส กิเลสทั้งนั้น เพราะอันนี้มันมีกิเลสอยู่

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาล่ะ กิเลสมันสงบตัวลง มันต้องสงบตัวลงมันถึงนิ่ง เพราะมันนิ่งแล้วนี่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิมันนิ่ง มีพลังงาน นี่น้ำนิ่งแต่ไหล ถ้าน้ำนิ่งแต่ไหล เวลามันยกขึ้นมาสู่วิปัสสนามันก็ก้าวหน้าของมันไป แต่ถ้าเป็นมิจฉา เวิ้งว้าง ว่างหมด น้ำนิ่งน้ำเน่าน่ะ ถ้านิ่งอย่างนั้นเดี๋ยวมันจะเสียมันจะเน่า ถ้ามันไม่เน่า น้ำไม่เสียมันก็จะระเหยไปหมด มันจะไม่อยู่ของมันอยู่อย่างนั้นหรอก สักวันใดวันหนึ่งมันต้องระเหยไปแน่นอน เพราะนั้นเป็นธาตุ

แต่ใจของคนมันเป็นนามธรรม มันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงการหมุนเวียนของมันมันมีของมันโดยธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว นี่สรรพสิ่งในโลกมันเป็นอนิจจัง ความคิดของคนความนึกคิดของคน ความรู้สึกของคน อารมณ์ของคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ถ้าเปลี่ยนมาเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา พอเป็นอนัตตาโดยสภาพความเป็นจริงของมัน โดยสภาพความเป็นจริงของมันมันเปลี่ยนแปลงของมันอยู่ตลอดเวลา แต่โดยความรู้ของเราล่ะ โดยความรู้ของเราไม่มี โดยความรู้ความเห็นจริงของเราไม่มี แต่สิ่งที่เราเอามาวิเคราะห์วิจัยกันนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจะเอาอะไรวิเคราะห์วิจัย

เราวิเคราะห์วิจัยไง วิเคราะห์วิจัยใครวิเคราะห์วิจัย มันเป็นโลก เป็นโลกเพราะอะไร เพราะน้ำมันยังไม่นิ่ง เพราะจิตมันไม่สงบ ถ้ามันจิตสงบแล้วน่ะก็วิเคราะห์วิจัยไม่เป็นอีก เวลาจิตสงบแล้วก็ไปติด ติดว่าความว่าง เห็นไหม แล้ววิเคราะห์วิจัยมาแล้วนั่นคือปัญญา นี่ปัญญาได้พิจารณามาแล้ว มันถึงได้วิเคราะห์วิจัยมา มันถึงปล่อยวางมา ปล่อยวางมามันถึงได้เวิ้งว้างอย่างนี้

นั้นคือปัญญา ปัญญาแบบโลกียปัญญา เราสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เวลามันสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษา การใคร่ครวญ ถ้าการศึกษาการใคร่ครวญ ศึกษามาจากไหน ก็ศึกษามาจากใจเรานี่แหละ ศึกษาออกมาจากพลังงาน ถ้าไม่มีพลังงานก็ไม่ใช่คนมีชีวิต คนมีชีวิต กระบวนการของความรู้สึกนึกคิดมันเป็นแบบนี้ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พอไปศึกษาๆ ศึกษานี้เป็นปริยัติ ศึกษา เห็นไหมดูสิ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์ให้มา เราท่องอุปัชฌาย์บอกก่อนแล้วเราพูดตาม พูดตามมาเราก็พูดได้

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ธรรมวินัยมีอยู่แล้ว เราก็ไปศึกษามา พอศึกษามานี่ก็เป็นสุตมยปัญญาทั้งนั้น แล้วถ้ามันไม่ได้ทำความสงบของใจเข้ามา เพราะการทำความสงบของใจเข้ามา น้ำนิ่ง น้ำนิ่งคือภาคปฏิบัติ ถ้ามันปฏิบัติได้จริง มันก็นิ่งจริง ถ้าปฏิบัติไม่จริง เห็นไหม น้ำนิ่ง น้ำเน่า น้ำนิ่งมันไม่ไหล มันไม่มีพลังงานของมัน

แต่ถ้าการปฏิบัติจริง เห็นไหม นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติจริงน้ำนิ่งแต่ไหล หมุนเวียนของมัน มีพลังงานของมัน มีชีวิตของมัน มันมีการเปลี่ยนแปลงของมัน มีความเป็นไป แต่นิ่งอ่ะ แต่นิ่ง! ไหลแต่นิ่ง แล้วมันทำอย่างไรล่ะ น้ำนิ่งแต่มันไหล เห็นไหม ถ้ามันไหลมันก็พุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิจนมันสงบได้ ถ้ามันไหลได้นี่เห็นไหมมันเกิดปัญญาได้ มันเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาตามความจริงขึ้นมา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะมันสมควรแก่ธรรม มันรู้มันเห็นของมัน

ถ้ารู้เห็นกระบวนการที่มันเกิดขึ้นอย่างนี้ นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันมีความจริงขึ้นมาอย่างนี้ ปฏิบัติได้ตามจริงอย่างนี้มันก็เป็นสัจจะอันเดียวกันไง ถ้าสัจจะอันเดียวกันน่ะ เพชร นิลจินดาเขาเก็บไว้ในตู้เซฟนะ เขาพยายามเก็บรักษาเพราะเขากลัวของเขาหาย ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานี่เกิดจากจิต ถ้าจิตมันปฏิบัติมันมีขึ้นมาตามจริง มันจะถนอมรักษาอย่างไร เพชรนิลจินดาเขาดูแลรักษาเขากลัวหายนะ กลัวโจรปล้น กลัวคนลักขโมย

แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันบริสุทธิ์เกิดสัมมาสมาธิ แล้วจะฝึกหัดใช้ปัญญา เราจะดูแลรักษาไหม สิ่งที่เป็นทรัพย์ อัตตัตถสมบัติทรัพย์ของใจ ถ้าใจมันมีทรัพย์อย่างนี้เราจะหลบหลีกไหม เราจะหลบหลีกหาที่สงัดวิเวกไหม เราจะหลบหลีกหาที่สงัดวิเวกเพื่อดูแลหัวใจของเรา เพื่อให้จิตใจมันอัตตัตถสมบัติของมันให้มาก ถ้ามันมากขึ้นการภาวนามันก็ดีขึ้น

ถ้าการภาวนาดีขึ้น เห็นไหมเราจะก้าวเดินไป จิตถ้าเราก้าวเดินไป เราพัฒนาใจของเราขึ้นเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เราปฏิบัติเพื่อแบบนี้ ในเมื่อภาคปริยัติก็มีการศึกษามา ศึกษามาภาคปฏิบัติ ถ้ามันเป็นภาคปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้ามันพุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันสงบเข้ามานั้นเป็นภาคปฏิบัติ แล้วถ้าภาคปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ปฏิบัติขึ้นไปแล้วถ้ามันสงบไปแล้ว ออกฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าปัญญาเกิดจากวิปัสสนา เห็นไหม

ในภาคปฏิบัติมันก็มีสมถะวิปัสสนา ในวิปัสสนาก็มีสมถะ ในวิปัสสนาก็ใช้ปัญญา ในวิปัสสนาปัญญาอบรมสมาธินี่ เห็นไหม ในสมถะมันก็มีปัญญา เพราะปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาเหมือนกัน ปัญญาเพื่อความสงบไง นี่ในสมถะก็มีวิปัสสนา ในวิปัสสนาก็มีสมถะ ถ้าในวิปัสสนาเวลาใช้ปัญญาไป ถ้าจิตไม่สงบมันเป็นสัญญาหมด ถ้าจิตไม่สงบมันก็เป็นโลกียปัญญาหมด ถ้าจิตสงบแล้วนี่เวลาจิตมันเสื่อมมาจิตมันอ่อนลง สมาธิมันอ่อนลง ปัญญาไปไม่ได้เลย

ปัญญาที่ไปได้มันใช้ปัญญา เห็นไหม งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ ความระลึกชอบ เวลามรรคมันเดินตัวไปนี่ปัญญามันหมุนของมันออกไป นี่มรรคมันเคลื่อนแล้ว ธัมจักร จักรมันเคลื่อนแล้ว ถ้าจักรมันเคลื่อน ปัญญามันฟาดฟัน ความรู้สึกนึกคิด สิ่งใดที่เป็นปมในใจมันทำลายหมด มันโล่งมันโถงมันดีงามไปหมดเลย แต่ถ้าพอสมาธิมันเสื่อมลง ปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว ปัญญามันเกิดขึ้นมานี่ มันเริ่มแกว่ง เห็นไหม คิดไปแล้วก็อั้นตู้ คิดไปแล้วมันก็ไม่ไป

นี่ถ้าสมาธิเสื่อมมันก็ออกเป็นสัญญา สัญญามันก็เป็นโลกียะไง มันจะเป็นโลกไง เป็นโลกก็คือความจำไง ในเมื่อเคยคิดอย่างนี้เคยทำอย่างนี้ ก็จะเอาความคิดความจำ สิ่งที่เคยเป็นน่ะจะเอามากด กดมันลงไป มันไม่ลงหรอก มันไม่ลง เพราะสมาธิมันอ่อนลง เห็นไหม ถ้าสมาธิอ่อนมันกดอย่างนี้ไม่ลง ถ้ากดอย่างนี้ไม่ลงมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน แล้วก็มั่นอกมั่นใจว่าเราเคยทำได้ เราเคยทำเป็น อันนั้นมันก็เป็นสัญญาหมดไง ถ้าสัญญาหมดมันก็ไม่เจริญงอกงาม ไม่เจริญงอกงามมันก็ไม่เป็นสมบัติของเรา ถ้าไม่เป็นสมบัติของเรานะ มันเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสัญญาทั้งหมด

เราปฏิบัติต้องเริ่มต้นให้มีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญานี่ให้เรามีกำลังใจขึ้นมา ถ้าเรามีกำลังใจนะ ความระลึกชอบ ถ้ามีความระลึกชอบ เราจะร่มเย็นเป็นสุขไง จิตอันเดียวกันไปอยู่ที่ไหนที่มันร้อนรนขนาดไหนก็จิตดวงนี้ ถ้ามันมีความสุขมีความสงบระงับก็จิตดวงนี้อยู่ในร่างกายนี้ จิตดวงนี้อยู่ในร่างกายนี้ แล้วเราอยู่ในสังคมใด อยู่ในสถานที่ใด ถ้าจิตดวงนี้เรารักษามันดูแลมันดี เราก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข

ถ้าเรามีความร่มเย็นเป็นสุขแล้วนี้เราพยายามก้าวเดินต่อเนื่อง เราปฏิบัติให้ต่อเนื่องขึ้นไปเพื่อให้มันมั่นคงแน่นหนาขึ้นมา ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องไม่มั่นคงขึ้นมา เดี๋ยวเวลามันร้อนนะ เวลามันร้อนมันใครร้อนล่ะ เราเป็นคนเรามีสติมีปัญญา เราเป็นคนตั้งใจเองว่าเราจะทำคุณงามความดี เห็นไหม เวลาคนเรามีสติปัญญามันเห็นกาลเวลานี่ต่อเนื่องกันตลอด

แต่เวลาคนขาดสตินะ มันผลัดวันประกันพรุ่ง ปีนั้น ปีนี้ ปีนู้นน่ะ ทั้งๆ ที่ปัจจุบันนี้อยู่กับเรา มันส่งไปปีนู้น ปีนั้น นี่คาดหมายไปทั่ว พอคาดหมายไปทั่วน่ะ แล้ววันเวลาก็ล่วงไปๆ แล้วมันจะมีสิ่งใดเป็นประโยชน์ล่ะ เราเป็นชาวพุทธ เรารู้อยู่แล้วน่ะ เกิดแล้วต้องตายหมด ชีวิตของเรานี่ความตายรออยู่ข้างหน้า แต่มันมาเมื่อไรไม่รู้ ถ้ามันความตายอยู่ข้างหน้านี่

ในปัจจุบันเราทำสิ่งใด ถ้าในเมื่อเรายังมีอนุสัย เรายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราต้องพยายามทำความหมั่นเพียรของเรา เราต้องพยายามมีความหมั่นเพียร พยายามรักษา พยายามดูแลหัวใจของเรา เอาประโยนช์ตรงนี้ให้ได้นะ ถ้าเอาประโยชน์ตรงนี้ได้ เห็นไหม นี่เวลาน้ำท่วม เวลาอุทกภัยน้ำมันท่วม มันทำลายเขาไปหมดเลย เวลาเกิดภัยพิบัติ เห็นไหม น้ำแล้งไม่มีใครสามารถทำการกสิกรรมได้ แล้วข้าวปลาอาหารมันจะขาดแคลนไปหมดเลย สิ่งที่มันมามากเกินไปก็ไม่ดี เวลามันขาดแคลนมันก็ไม่ดี

แต่ของเรามีตาน้ำ มีต้นน้ำคือจิตของเรา ถ้าเรามีต้นน้ำมีจิตของเรานี่ มันส่งออกมันไหลมาตลอด ถ้าเรามีสติมีปัญญาเราจะรักษาตรงนี้ได้ เห็นไหม มีตาน้ำ ถ้าตาน้ำมันผุดขึ้นมาต่อเนื่องมันจะเกิดเป็นลำธาร มันจะสะสมต่อเนื่องเป็นแม่น้ำ แล้วมันจะไหลลงไปสู่ปากอ่าว มันจะลงสู่ทะเล สิ่งที่มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปแบบนี้ ชีวิตเราเห็นไหม เรามีใจของเรา มีต้นน้ำ นี่ฐีติจิต ในเมื่อมีกำเนิดเป็นมนุษย์ มันมีต้นน้ำที่นี่ มันเป็นสันตติ มันเกิดเนื่องตลอดเวลา แล้วมันส่งออก มันไหลออกไปตลอดเวลา ไหลออกไปแล้วนี่มันก็หมดสิ้นไป

เวลากาลเวลามันถึงที่สุดนะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ต้องตายแน่นอน ถ้าต้องตายแน่นอนความตายเข้ามารอเราอยู่ข้างหน้า แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่นี่เราจะทำสิ่งใดเป็นสมบัติของเรา สมบัติทางโลก ดูสิ เศรษฐีมหาเศรษฐีทางโลกเขาหาเงินหาทองมาเป็นสมบัติของเขา

เราบวชมาเป็นพระ แล้วเรามีความมุ่งหมายอยากพ้นจากทุกข์ เรามีความมุ่งหมายอยากมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้าเขาไม่เชื่อว่ามรรคผลมีจริง เขาก็ดูถูกเหยียดหยาม พอครูบาอาจารย์เราท่านทำเป็นความสงบความสำเร็จในใจของท่าน แล้วท่านสั่งสอนจนมีลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมา จนสังคมเขาเชื่อถือขึ้นมา เวลาเขาจะปฏิบัติกัน เขาปฏิบัติโดยความรู้ความเห็นของเขา ปฏิบัติโดยกิเลส ปฏิบัติโดยความเร่ร่อน ปฏิบัติไปอย่างนั้นมันก็ไม่มีคุณความจริงขึ้นมา

เรานี่นะ เราบวชมาเป็นพระ เราอยากเป็นพระปฏิบัติ แล้วเรามีครูบาอาจารย์ด้วย แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านพูดแล้วไม่จริง เรามาปฏิบัติขึ้นมาสิ หาเหตุหาผลมาโต้แย้งกับท่าน หาเหตุหาผลว่าเราปฏิบัติแล้วนี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดน่ะผิดหมดน่ะ เรานี่พูดถูก พูดถูก เอาความจริงนี้ออกมา สร้างสมบัติอันนี้มาให้เป็นประโยชน์กับเรา เอาความจริงมา

อย่าให้ชีวิตนี้ล่วงไปๆ แล้วชีวิตจะล่วงไปๆ นะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องตายข้างหน้าแน่นอน ฉะนั้น เอาความจริงมาให้เป็นสมบัติของเรา ให้เป็นสมบัติของใจ แล้วเก็บรักษาไว้ เป็นสมบัติส่วนตน เอวัง